Saturday, December 30, 2017

รีวิว JUYOH HOTEL เที่ยวโตเกียวคนเดียว นอนห้องเดี่ยว ราคาเบาๆ




โรงแรมสำหรับ "แบกแพ็กเกอร์" เดินทางคนเดียว ไม่อยากพักห้องรวม หรือโรงแรมแคปซูล พักห้องเดี่ยวได้ ราคาประหยัด


JUYOH HOTEL (จูโยห์ โฮเต็ล) อยู่ทางด้านตอนเหนือของโตเกียว 
เดินทางได้ทั้งรถไฟ JR, รถไฟใต้ดิน และรถโดยสารประจำทาง

JR และ รถไฟใต้ดิน ลงสถานี Minami-senju จากนั้นเดินข้ามสะพานข้ามทางรถไฟ และเดินต่อไป ประมาณ 700 เมตร

ใกล้ๆ โรงแรม มีป้ายรถโดยสารประจำทาง สาย 42 และ 46 เดินทางไป Asakuza และ Ueno ได้โดยง่าย


มีทั้งห้องพักเดี่ยวและคู่ ราคาประหยัด ห้องน้ำรวม สะดวกและสะอาด

มีลิฟต์ ไม่ต้องกลัวแบกกระเป๋าขึ้นบันได 

มี 7-11, ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหาร ใกล้โรงแรม


JUYOH HOTEL (จูโยห์ โฮเต็ล) 




แผนที่ JUYOH HOTEL (จูโยห์ โฮเต็ล) 



สัมภาระเยอะ ลากกระเป๋า มีลิฟต์ภายในสถานี Minami-senju 


ทางเข้า-ออก สถานี Minami-senju 
เข้า - ออก สถานี Minami - senju ได้ 2 ทาง 
อีกทางนึงออกมาแล้วจะเจอ Macdonald ไม่ต้องตกใจ 
เดินต่อมาอีกนิด ก็จะเจอประตูตามภาพ


ทางเดินไปขึ้นลิฟต์ เพื่อข้ามสะพาน แต่หากไม่มีสัมภาระ จะเดินขึ้นบันไดก็ได้นะ

ลิฟต์ อยู่ใต้สะพาน

ลิฟต์ ขึ้น-ลง สถานี Minami-senju  เพื่อข้ามสะพาน ข้ามทางรถไฟ

ออกจากลิฟต์ แล้วเดินลงมาถนน เพื่อเดินต่อไปอีก 700 เมตร



ระหว่างทางเดินไป JUYOH HOTEL ถ้าเหนื่อยก็แวะ 7-11 ก่อนได้



JUYOH HOTEL
ช่วงที่ไปพัก โรงแรมกำลังรีโนเวท แต่เสียงเบามาก แทบไม่รู้เลย ว่ามีคนกำลังทำงานอยู่


แผนกต้อนรับ JUYOH HOTEL



Lobby ชั้น 1 มีบริการน้ำร้อน, ไมโครเวฟ และตู้เซฟ ฝากเก็บของมีค่า

Lobby ชั้น 1 มีล็อกเกอร์ ให้เก็บของมีค่า เข้ารหัสเซฟ ได้ด้วยตัวเอง


ดึกๆ ลงมาต้มบะหมี่กินได้เลย



JUYOH HOTEL มี 6 ชั้น แต่มีลิฟต์ ไม่ต้องกังวล

แต่ละห้อง พักกันอย่างเงียบๆ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

ห้องพักเดี่ยว ขนาดกระทัดรัด ของใช้ครบครัน

ห้องพักเดี่ยว ขนาดกระทัดรัด มีเครื่องปรับอากาศ, ทีวี, ตู้เย็น, ชั้นวางกระเป๋า, โต๊ะญี่ปุ่น
มีชุดยูกะตะ, ผ้าเช็ดตัว และรองเท้าสลิปเปอร์ ให้ด้วย
เปิดผ้าม่านออกไป มองเห็นวิวถนน อาคารบ้านเรือน ไม่มีตึกบังตา


ชอบมาก มีรองเท้าสลิปเปอร์



นอนคนเดียวสบายๆ เหลือที่วางของอีกด้วย
นอนคนเดียว สบายๆ ดิ้นได้นิดหน่อย ยังเหลือที่ให้วางของอีกเยอะ



ชอบมากที่สุดคือ มีตู้เย็นเล็กๆ ให้กักตุนของกิน เผื่อดึกๆ หิว ขี้เกียจเดินออกไป 7-11


ซื้อของมาเต็มห้อง ก็ยังเหลือที่ให้นอนได้



สั่งของจาก Amazon Japan ให้มาส่งที่โรงแรมได้ด้วย

สั่งของจาก Amazon Japan ให้ไปส่งที่โรงแรม ตั้งแต่ยังไม่ได้ check-in 
แต่อีเมล์แจ้งโรงแรมไว้ล่วงหน้าแล้ว รับของไว้ให้เรียบร้อย น่ารักมากๆ


ห้องพักคู่ สำหรับ 2 คน




ห้องสำหรับล้างหน้า แปรงฟัน

ชักโครก มีความเป็นญี่ปุ่น ห้องเล็กและสะอาด



ห้องน้ำรวม สะอาด เพียงพอ ไม่ต้องรอคิว
มีแชมพู, ยาสระผม, ครีมนวดผม
ฝักบัว มีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่ต้องกลัวหนาว ~
ห้องน้ำ ใช้ไฟเซนเซอร์ ดับได้เอง ปัง! มาก



ย่านมินามิ-เซนซู เงียบๆ ไม่พลุกพล่าน เดินทางสะดวกมาก 

นั่งรถไฟใต้ดิน ไปอุเอโนะ เพียง 6 นาที 
และสามารถไปต่อยังอะซากุสะ อีกเพียง 5 นาทีเท่านั้น

อย่าลืม!! ทดเวลาช่วงเดินจากโรงแรมไปยังสถานี 
และเวลาที่เดินอยู่ภายในสถานีด้วยนะ บวกไปสัก 5-10 นาที


จองที่พักผ่าน Booking.com  หรือ JUYOH HOTEL 




เดินทางในโตเกียว นั่งรถไฟใต้ดิน สะดวกมาก 
แต่เดินเหนื่อยมาก 

เดิน 10 Kg. ขึ้นไปทุกวัน เพราะจุดเชื่อมต่อแต่ละสถานีรถไฟ ไกลพอสมควร และไม่ได้มีลิฟต์ทุกสถานี 

ถ้ามีสัมภาระเยอะ และที่พักอยู่ใกล้ป้ายรถประจำทาง แนะนำให้ขึ้นรถประจำทางค่ะ

ตอน Check-in เรานั่งรถไฟใต้ดินไป 
ลากกระเป๋า 2 ใบ ระยะทาง 700 เมตร เหนื่อย(โคตร)

ตอน Check-out  ขึ้นรถประจำทาง สาย  46 ไปลงหน้าสถานี Ueno แล้วเดินต่อไปอีกนิดเดียว เพื่อขึ้นรถไฟสาย Keisei ตรงไปสนามบินนาริตะ สบายๆ 

ภาพถ่าย เมษายน 2560 ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซากุระบาน อากาศเย็นพอดีๆ







Tuesday, December 26, 2017

“ตกหลุมรักญี่ปุ่น”

“ตกหลุมรักญี่ปุ่น”

“อาการตกหลุมรัก” 
จะรู้สึกมีความสุขลึกๆ อยู่ในใจ โลกสดใสขึ้นได้ในพริบตา 

(1)  ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน จะมีภาพของญี่ปุ่น ผุดขึ้นในความคิดอยู่ตลอดเวลา แอบยิ้มคนเดียวบ่อยๆ โดยไม่รู้ตัว

(2)  อยากรู้จักและเข้าใจญี่ปุ่นมากขึ้น เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น, กินอาหารญี่ปุ่น, ชมภาพยนตร์ญี่ปุ่น, ฟังเพลงญี่ปุ่น, อ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น, สะสมโมเดลญี่ปุ่น, เรียนคอร์สพรีออเดอร์ญี่ปุ่น และอีกหลายๆ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น  เพื่อทำตัวให้ใกล้ชิดญี่ปุ่นมากขึ้น

(3) รู้สึกอารมณ์ดีและมีความสุขมากขึ้นเป็นพิเศษ ในช่วงเวลาที่ได้วางแผนเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง

(4) ยอมอดใจไม่ซื้อของบางอย่าง ใช้จ่ายประหยัดมากขึ้น เพื่อที่จะได้เก็บตังค์ไปญี่ปุ่นอีก

(5) พูดถึงญี่ปุ่นให้คนอื่นฟังด้วยแววตาเป็นประกาย อยากแบ่งปันเรื่องราว ความประทับใจที่ได้จากการไปญี่ปุ่น

(6) หลังกลับมาจากญี่ปุ่น จะเฝ้าติดตามตั๋วโปรโมชัน และมือสั่นกดจองรัวๆ อย่างไม่รู้ตัว

(7) โพสต์ภาพถ่ายที่ญี่ปุ่นต่อเนื่องตลอดทั้งปี แม้จะกลับมาไทยนานแล้ว

“อาการตกหลุมรัก” 
ช่วยเติมน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจให้สดใส และสร้างพลังได้ไร้ขีดจำกัด

เมื่อไหร่ที่คิดถึงญี่ปุ่น จะทำให้รู้สึกมีความสุขและมีพลังขึ้นมาทันที  
คุณตกหลุมรักญี่ปุ่นมาแล้วกี่ครั้ง? คุณไปญี่ปุ่นมาแล้วกี่รอบ?

ความผูกพันธ์กับญี่ปุ่น ซึมซาบมาตั้งแต่จำความได้ เราเติบโตมาในยุคโดราเอมอน, อิคคิวซัง, นินจาฮาโตริ, ดรากอนบอล, ไอ้มดแดง, หน้ากากเสือ, คําสาปฟาโรห์, การ์ตูนตาหวาน, ละครโอชิน, โกโบริ (พี่เบิร์ด) และโซนี่ วอล์คแมน

รู้สึกใกล้ชิดสนิทกับญี่ปุ่น เหมือนเป็นเพื่อนบ้านกัน แต่เมื่อก่อนนี้ เพื่อนปิดกั้นตัวเอง ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเยี่ยมบ้านได้ง่ายๆ อยากไปต้องขอ Visa และมีเงินในบัญชีหลักแสนบาท

ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีเสน่ห์ล้นเหลือ สวยงามทุกฤดูกาล มีดอกซากุระ สีชมพูเบ่งบานเต็มเมือง มีฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่ภูเขาปกคลุมไปด้วยใบไม้สีแดง, เหลือง, เขียว, ส้ม มีฟูจิซัง สูงเด่นสง่า เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ดูจากภาพถ่ายแล้วตกหลุมรัก อยากไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต

หลังจากลาออกจากงานประจำมาได้เกือบปี เพื่อมุ่งมั่นหาเงินบนโลกออนไลน์ เราได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ถึงหนทางหาเงินออนไลน์หลายๆ แบบ แต่ยังไม่ได้พุ่งตรงไปกับช่องทางใด จึงตัดสินใจไปญี่ปุ่น ด้วยเงินเก็บที่มีไม่มากนัก เชื่อมั่นว่า “การออกเดินทาง จะพาเราไปพบสิ่งที่เรากำลังตามหา”

เดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรก ปี 2011 
ปลายกันยายน เริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง
 
ช่วงนั้นจะไปญี่ปุ่นต้องขอวีซ่า เรามีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะ “ไม่ผ่าน” เป็นสาวโสด, ไม่ได้ทำงานประจำ และมีเงินในบัญชีแค่ หมื่นเดียว...แต่ในที่สุด...ผ่านจ้า // 

ไปญี่ปุ่นครั้งแรก กับคณะทัวร์ของ “มูลนิธิบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยกิจกรรมทางศาสนา” ในญี่ปุ่น เรียกว่า  “Sekai Kyusei Kyo IZUNOME” ได้ไปโตเกียว, ฮาโกเน่ และอาตามิ อากาศเย็นสบายพอดีๆ แต่ยังไม่เห็นใบไม้เปลี่ยนสี เพราะใบไม้เพิ่งจะเริ่มร่วง ตลอด 7 วัน เรามีความสุขมาก อยากบันทึกทุกภาพความทรงจำเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ เพื่อจะได้ไม่ลืมเลือน...

เมื่อกลับมาไทย มีคนรอบข้างเข้ามาสอบถามถึงประสบการณ์ไปญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง เราหัวใจพองโตทุกครั้งที่ได้พูดถึงญี่ปุ่น อยากเล่า อยากถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อญี่ปุ่น จึงได้เขียน Blog เพื่อจะได้รู้สึกว่าอยู่ใกล้ๆ ญี่ปุ่นเสมอ และเพื่อคลายความคิดถึงญี่ปุ่นลงบ้าง  


ไปญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 มีนาคม 2012 ต้นฤดูใบไม้ผลิ ขอวีซ่าเอง กล้ามาก!!
เราวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ล่วงหน้า 3 เดือน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า หากหมกมุ่นทำในสิ่งที่รักอย่างจริงจัง (บ้าคลั่ง) นอกจากเกิดความสุขแล้ว ยังเป็นจุดเชื่อมโยงไปสู่ความสำเร็จในชีวิตด้วย

ตั้งใจอย่างแรงที่จะไปชมซากุระ แต่ต้องผิดหวัง เพราะปีนั้นอากาศหนาวนาน ทำให้ซากุระบานช้า ช่วงเราไปแค่ตูมๆ มีแต่ดอกบ๊วย สวยไม่แพ้ซากุระ ใช้เวลาในญี่ปุ่น 14 วัน อยู่โอซาก้า, นารา และเกียวโต เมืองแห่งมรดกโลก พักโฮสเทลและเกสเฮ้าส์ญี่ปุ่น นอนเสื่อทาทามิและฟุตอง นั่งรถบัส ปั่นจักรยาน พยายามใช้ชีวิตให้ใกล้ชิดคนญี่ปุ่นมากที่สุด  

เกียวโต..ทะลุ ปรุโปร่ง..จริงๆ >> http://kokoro-karakaku.blogspot.com/2012/04/blog-post.html

ไปญี่ปุ่นครั้งนี้ ห่างจากครั้งแรกไม่กี่เดือน เป็นการเดินทางเพื่อไปพักใจ สงบจิตใจ เลือกไปญี่ปุ่น เพราะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และสบายใจ เหมือนกลับไปบ้านหลังที่สอง 

กลับจากญี่ปุ่นรอบนี้ เราจริงจังกับธุรกิจพรีออเดอร์ญี่ปุ่น ตั้งใจทำเป็นอาชีพหลัก เพื่อบรรลุเป้าหมายหลัก 2 ประการคือ  มีรายได้จากธุรกิจออนไลน์ มากพอที่จะดูแลตัวเองได้ และใกล้ชิดกับสิ่งที่รักทุกๆวัน..นั่นก็คือ “ญี่ปุ่น"

ไปญี่ปุ่น ครั้งที่ 3 ฤดูร้อน ปี 2016 
ห่างจากครั้งที่ 2 นานถึง 4 ปี ชีวิตต้องก้าวผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งทุกข์และสุข แต่ทุกๆ ช่วงเวลา ยังมีภาพของญี่ปุ่นอยู่ในห้วงคำนึงเสมอ

ทริปสั้นๆ เที่ยวโตเกียวแค่ 5 วัน มีเพื่อนร่วมเดินทาง 1 คน เป้าหมายคือ ทะเลสาบคาวากูจิโกะ(Lake Kawaguchiko)

กลับมาไทยรอบนี้ หนักหนาสาหัสมาก ผลจากการลากกระเป๋าใบใหญ่ ไม่เจียมสังขาร กล้ามเนื้อหลังอักเสบ ต้องพักรักษาตัวหลายเดือน ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ควรใช้บริการขนสัมภาระ TA-Q-BIN (ทะคิวบิง) จ่ายค่าบริการแค่หลักพัน ดีกว่าเจ็บตัวและเสียค่ารักษา

ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อเอว ภัยเงียบหลังจากเดินทาง ที่คุณคาดไม่ถึง!! >>  

ไปญี่ปุ่น ครั้งที่ 4 ฤดูใบไม้ผลิ ปลายเมษายน 
มีเพื่อนร่วมทริป 2 คน เป็นนักเรียนในคอร์ส “จับเสือมือเปล่า Pre-order Japan รวยได้ ไม่ง้อทุน” เที่ยวโตเกียว 7 วัน อยู่ท่ามกลางดอกซากุระทุกวัน สมความตั้งใจเสียที คลาดกันมาหลายปีแล้ว 

นอกจากภาระกิจ ชมซากุระแล้ว รอบนี้ยังต้องทำกิจกรรมหลายอย่าง 

(1) รับหิ้วของจากญี่ปุ่น เป็นครั้งแรก ปกติจะรับสั่งทางออนไลน์ ไม่ได้รับหิ้ว
(2) ถ่ายภาพ เพื่อนำกลับมาประกอบบทความและหนังสือ 
(3) ถ่าย Fb live เพจ Kokoro Pre-order Japan เพื่อให้ลูกค้าติดตามความเคลื่อนไหว
(4) อัดคลิปวิดีโอ เพื่อนำกลับมาลงช่องยูทูป “จับเสือมือเปล่า Pre-order Japan”


ภาระกิจทั้ง 4 ข้อ ทำให้ 7 วันในโตเกียว สั้นมากๆ 
เราเดินไม่ต่ำกว่า 10 Kg. ทุกวัน ออกจากที่พักสายๆ กลับเกือบเที่ยงคืน (เกินเที่ยงคืน จะเข้าไม่ได้) ที่พักอยู่ห่างจากรถไฟใต้ดิน 700 เมตร แต่เป็นแหล่งนักท่องเที่ยว มีคนเดินตลอด ไม่น่ากลัว 

ไปญี่ปุ่นมากี่ครั้งแล้ว? มีคนถามเราบ่อยๆ 
เราไปญี่ปุ่นน้อยมาก (แต่ใจอยู่ญี่ปุ่นตลอด) 

นักเรียนในคอร์สของเรา เป็นแฟนคลับ J-Pop KAT-TUN ไปดูคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่นมา 10 กว่าครั้งแล้ว และอีกหลายๆ คน ไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่า 10 ครั้ง (ไม่นับคนที่ไปทำงานนะ) 

ญี่ปุ่น ไปครั้งเดียวไม่พอ ไปแล้ว ยิ่งอยากไปอีก 
ตกหลุมรักญี่ปุ่น เป็นอาการที่ไม่มีเหตุผล ต้องลองไปเองแล้วจะเข้าใจ


ชีวิต คือ “การเดินทาง” 
ตลอดเส้นทาง เราได้เรียนรู้เพื่อพาตัวเองไปสู่...จุดที่ดีกว่าเดิม 

เรารักการเดินทาง วันข้างหน้าอาจมีประเทศที่เราได้ไป แล้วตกหลุมรักมากกว่าญี่ปุ่น ก็เป็นไปได้ เพราะแต่ละพื้นที่ ถูกธรรมชาติสร้างสรรให้มีความงามแตกต่างกันไป แต่กว่าจะถึงวันนั้น ญี่ปุ่นก็ได้กลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ของเราไปแล้ว

เมื่อไหร่ที่เราทุกข์ เราจะกลับไปพักใจที่ญี่ปุ่น
และเมื่อเราสุข เราก็จะกลับไปญี่ปุ่น อีกเช่นกัน

เมษายนปีหน้า ต้นฤดูใบไม้ผลิ ทริปชมซากุระ (อีกแล้ว) 
จะเป็นการเดินทางไปญี่ปุ่น ครั้งที่ 5  ยังไม่มีเพื่อนร่วมก๊วน

เชิญไปพิสูจน์ว่า ญี่ปุ่นจะทำให้คุณ “ตกหลุมรัก” ได้หรือเปล่า




Wednesday, December 20, 2017

“ใบขับขี่” เพิ่งมีตอนอยู่ "หลักสี่"

“ใบขับขี่”  เพิ่งมีตอนอยู่ "หลักสี่"

“เรียนขับรถยนต์” และมีใบขับขี่ เป็นหนึ่งในเป้าหมายชีวิตที่อยู่ในแผนทุกๆ ปี และถูกเลื่อนออกไปทุกๆ ปีเช่นกัน เพราะคิดว่า “ไม่สำคัญ”


เราไม่เคยเห็นความสำคัญของการมีรถยนต์เลย เหตุผล...

(1) เราพักอาศัยใกล้ Bts เดินทางด้วย Bts และ Mrt เป็นประจำ ไกลออกไปใช้บริการ Taxi
(2) เราไม่พร้อมมีภาระในการดูแลรถยนต์ และรายจ่ายที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งค่าผ่อนรถ และอื่นๆ อีกไม่น้อย

แต่ลึกๆ แล้ว เราอยากมีรถยนต์ และอยากขับรถเป็น จึงได้เขียนเป้าหมายลงในแผนของทุกปี

ปีนี้เราอายุเข้าสู่หลักสี่แล้ว  มีรายได้จาก Passive income อยู่บ้าง เพียงพอที่จะดูแลตัวเองและครอบครัว มีอิสรภาพทางเวลา (คำนี้คุ้นๆ)

ความสบาย (เกินไป) ที่ไม่ต้องเคร่งเครียดกับชีวิตประจำวัน ทำให้ข้ามคำว่า “สโลว์ไลฟ์” ไปสู่  “ขี้เกียจ”

แม้ไม่มีธุระอะไร เราจะพยายามหากิจกรรมทำ เพื่อพาตัวเองออกจากมุมสบาย มีทั้งกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ ได้พัฒนาตัวเอง ส่งเสริมธุรกิจการงาน และกิจกรรมสาระน้อย ขอแค่ทำให้ร่างกายได้เคลื่อนย้ายนอกนอกพื้นที่เดิมๆ บ้าง ไกลหน่อยก็ไปเที่ยวเชียงรายคนเดียว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป้าหมาย ที่ทำสำเร็จไปแล้ว กันยายนที่ผ่านมา

ธันวาคม เดือนสุดท้ายของปี ไม่ได้จัดคอร์สสัมมนา แต่รับงานสอนส่วนตัว พอที่จะมีเวลาบ้าง จึงตัดสินใจทำตามเป้าหมายที่ยกยอดมาหลายปีแล้ว

Google ค้นหา “โรงเรียนสอนขับรถ” ใกล้ๆ สุขุมวิท 101 มีเยอะพอสมควร ที่เรียนแล้วสอบใบขับขี่กับทางโรงเรียนได้เลย ไม่ต้องไปสอบที่ขนส่งก็มี

เราอยากท้าทายความสามารถของตัวเอง และไม่ได้รีบร้อนที่จะต้องมีใบขับขี่ ไม่ติดปัญหาต้องลางานกับใคร เลยเลือกสมัครเรียนที่ “อุดมสุข สอนขับรถยนต์”รงเรียนอยู่หน้าสวนหลวง ร.๙ ครูเป็นผู้หญิง ยังวัยรุ่นอยู่เลย น่ารัก และใจดี (อวยครู) ใช้รถ Toyota Vios ของครูในการเรียนและสอบใบขับขี่

สมัครเรียน 15 ชั่วโมง + ซ้อมท่าสอบ 2 ชั่วโมง ได้ขับไปเที่ยวทะเล ชลบุรี 1 วัน เราขอร้องครูเป็นกรณีพิเศษ เพราะอยากขับออกต่างจังหวัดได้ ไม่กลัว 

สมใจอยาก วันสุดสัปดาห์ ก่อน 5 ธันวาคม รถแน่นมาก โดยเฉพาะรถพ่วง 6-10 ล้อ เราขับเทียบกับรถพ่วงอยู่หลายรอบ ลุ้นน่าดู หวาดเสียว แต่สนุกมาก ทำให้เรามั่นใจมากขึ้น ไม่กลัวที่จะขับออกถนนใหญ่ (ขับไปและกลับ อยู่ในความดูแลของครูตลอด)

บางคนอาจจะพยายามหาสนามสอบที่ผ่านง่ายๆ ไกลแค่ไหนก็ดั้นด้นไป เพราะจำเป็นต้องรีบมีใบขับขี่ หรือไม่สามารถลางานได้หลายวัน แต่หากไม่ติดขัดอะไร เราแนะนำให้สอบสนามใกล้บ้านหรือที่ทำงาน เพื่อคุณจะได้พิสูจน์ฝีมือตัวเอง ผ่านได้! จะภูมิใจมากๆๆๆ

เราสอบที่ “ขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3” ใกล้ Bts บางจาก เพราะใกล้คอนโดฯ เดินชิลล์ๆ ไปสนามสอบ เพียง 15 นาที

ก่อนไปสอบข้อเขียน เราไปอบรมก่อนที่ “ศูนย์พัฒนาทุนมนุษย์” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เพราะครูแนะนำว่า หากอบรมกับขนส่ง จะรอคิวนาน เรากลัวไม่ทันปีใหม่ อยากทำเป้าหมายให้สำเร็จภายในปีนี้ เลยไปอบรมข้างนอก แล้วนำเอกสารมายื่นขอสอบที่ขนส่งฯ

สอบข้อเขียน 47/50 คะแนน ใช้เวลาเพียง 14 นาที ผ่านฉลุย! 
ก่อนสอบ เราอ่านหนังสือ และฝึกทำแบบทดสอบออนไลน์หลายรอบ พอเห็นข้อสอบปุ๊บ! เลือกคำตอบได้ทันที ไม่คิดมาก มีประมาณ 5 ข้อ ที่ไม่มีในแนวข้อสอบ อ่านโจทย์แล้วงง เลยพลาดไป 3 ข้อ

สอบปฏิบัติ 3 ท่า ตอนซ้อมกับครู ทำได้ดีพอสมควร จอดเทียบเป๊ะเว่อร์ อยากถ่ายรูปเก็บไว้ดูเลย แต่สอบจริง ตื่นสนาม สอบตกท่าเทียบฟุตบาท 

มัวกังวลว่าจะจอดห่างเกิน 25 ซม. เลยปีนฟุตบาทซะ!  ไม่เสียใจเท่าไหร่ ท่ายอดฮิต มีเพื่อนร่วมรุ่นสอบตกหลายคน

ซ่อมครั้งที่ 1 จอดเทียบได้แล้ว แต่หน้ารถหยุดไม่ถึงระยะที่กำหนด ตกอีก !!

ก่อนสอบซ่อมครั้งที่ 2 ครูพาไปซ้อมขับจอดเทียบ ขับวนไปๆๆๆ จอดเทียบไปๆๆๆ จนคล่อง

ซ่อมครั้งที่ 2 รู้สึกผ่อนคลายมาก มาบ่อย ชินสนามแล้ว เกือบตก ! ดีใจมาก

ทำได้แล้ว! เป้าหมายที่ตั้งไว้หลายปี เคยคิดว่า “ไม่สำคัญ” จริงแล้ว “สำคัญมาก” เป็นแรงผลักดัน ให้เราก้าวข้ามผ่านกำแพงแห่งความขี้เกียจ ปลุกให้ขยัน ออกจากห้องไปเรียนขับรถ ฝึกฝน อ่านหนังสือเตรียมสอบ มุ่งมั่น ตั้งใจ ไม่ท้อแม้สอบไม่ผ่าน จนกระทั่ง “สำเร็จ”


หากเพื่อนๆ กำลังหมดไฟ ลองย้อนกลับไปดูเป้าหมายที่เคยตั้งใจไว้ปีก่อนๆๆ แล้วยังไม่ได้ทำสักที ปัดฝุ่น หยิบมาทำ พาตัวเองก้าวออกไปทำตามเป้าหมาย แม้จะเป็นเพียงเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิต แต่หากเราทำให้สำเร็จได้เรื่อยๆ จะเกิดพลังสะสม นำพาเราก้าวไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นได้

ขอพลังจงสถิตอยู่กับท่าน

บันทึกความทรงจำ
30 พ.ย. 2560 อบรมใบขับขี่ 
ค่าใช้จ่าย 500 บาท มีน้ำ + ขนม + กาแฟ + หนังสือเตรียมสอบ 
:
7 ธ.ค. 2560 สอบข้อเขียน
8 ธ.ค. 2560 สอบปฏิบัติ
14 ธ.ค. 2560 ซ่อม ครั้งที่ 1 T__T
19 ธ.ค. 2560 ซ่อม ครั้งที่ 2 ผ่าน (^__^)//
ชำระค่าธรรมเนียมใบขับขี่ 205 บาท




Friday, December 15, 2017

J-pop (เจป็อป) Never Die !! กลับมาเป็นแฟนคลับ J-pop ในวัย 40 ขวบ

เคยไหม? อยากทิ้งตัวลง แล้วนอนดูซีรี่ย์ข้ามวันข้ามคืน ไม่ต้องรีบตื่นไปเรียนหรือทำงาน

ช่วงวัยรุ่น วุ่นเรียน วัยทำงาน เคร่งเครียด เวลาหมดไปกับที่ทำงาน 80% กลับมาบ้านยังครุ่นคิดถึงแต่งานๆๆ อยากตามใจตัวเองบ้าง นอนนิ่งๆ หรือนั่งโง่ๆ มองฟ้า ดูทะเล ก็ทำไม่ได้ดั่งใจ ถ้ามีเงิน มักไม่มีเวลา พอมีเวลา จะไม่ค่อยมีเงิน (ว่างงานงัย)

วัย 40+ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ของการทิ้งตัว  ทำงานไม่ประจำ มีรายได้ Passive income ไหลมาบ้าง ไม่ต้องเครียดเรื่องเงิน ไม่ต้องกังวลเรื่องงาน ไม่มีลูกผัวเป็นของตัวเอง สบายใจ~ จะตื่นหรือนอนเวลาไหนก็ได้ อยากนั่งโง่ๆ ก็ทำได้ตามใจปรารถนา

กิจกรรมย้อนดูซีรี่ย์และภาพยนตร์สมัย 10 - 20 ปีก่อน กลายเป็นงานประจำที่มักทำยามค่ำคืน และอาจยาวถึงเช้าหรือเย็นของอีกวัน

ไม่ได้ดัดจริตอะไร แต่ชอบดู Soundtrack เพราะอยากฟังเสียงจริงๆ ของนักแสดง แปลไม่ออกแต่ใจรัก หากมี Sub-thai จะขอบพระคุณมาก

จำได้ว่าเคยดู “GTO ครูซ่าปราบขาโจ๋” สนุกมาก ย้อนกลับไปดูอีกดีกว่า....ดูจบ Youtube รู้ใจ แนะนำเรื่องอื่นๆที่ใกล้เคียงกันมาให้ดู

“Gokusen ลูกสาวเจ้าพ่อขอเป็นครู” ...และนี่คือ จุดเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล (เว่อร์ล่ะ)

นางเอกดูติ๊งต๊อง น่ารักดี มีบทบู๊ชกต่อยสไตล์ญี่ปุ่น ดูจบภาค 1 ดีงาม พระเอกหล่อ มีเสน่ห์มาก Jun Matsumoto (จุง มะสึโมะโตะ) แห่งวง Arashi  ปัจจุบัน อายุ 30+ ยังคงหล่อและได้รับความนิยม ติดอันดับต้นๆ หนุ่มในฝันของสาวๆ ทั่วเอเชีย








Gokusen โด่งดัง เรทติ้งพุ่งแรง จนมีซีรี่ย์ 3 ภาค + ภาพยนตร์ 1 ภาค เราไปอยู่ไหนมา @__@ ไม่เคยดูเลย ใช้ชีวิตไปกับการทำงานมากเกินไปสินะ !  ภาค 2 มีพระเอก 2 คน เด็กหนุ่มหน้าละอ่อน คิ้วสวยเด่น หน้าวีเชฟ ยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ดูแรกๆ เฉยๆ ดูๆ ไป น่ารักดี แม้จะสู้ความหล่อของ Jun Matsumoto ไม่ได้ก็ตาม








Kamenashi Kazuya กับ Akanishi Jin สมาชิกวง Kat-Tun

"KAT-TUN เป็นศิลปินแรกในประวัติศาสตร์ ที่สามารถเปิดคอนเสิร์ตต่อเนื่องถึง 8 วัน ที่ โตเกียว โดม ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตฮอลล์ที่ใหญ่ที่สุดและมีเกียรติที่สุดในญี่ปุ่น รวมจำนวนผู้ชมถึง 440,000 คน”







ย้อนไปเกือบ 20 ปีก่อน คงเป็นอะไรที่ "สุโค่ย" ที่สุดแล้วในญี่ปุ่น น่าสนใจมาก มีผลงานอะไรอีกบ้าง สืบค้นๆๆๆ จนเจอกระทู้กับดักในพันธ์ทิพย์ https://pantip.com/topic/32156983


ชอบเรื่องไหนของ Kamenashi Kazuya ที่สุดคะ?

เราตกลงไปในหลุมลึก บาดเจ็บสาหัส แผลทั่วตัว รักษาไม่หาย ต้องเยียวยาด้วยการติดตามผลงาน Kamenashi Kazuya และ Kat-Tun ต่อไป

ในกระทู้แนะนำให้ดู “Tatta Hitotsu no Koi” (ขอรักแท้ แค่ครั้งเดียว) บอกว่า “ดีมาก ต้องดู” แต่ดราม่า ไม่เอาดีกว่า เลือกไปดูแนวตลก “One Pound Gospel” "ฤทธิ์หมัดเสือหิว" โอย...ตกหลุมรักคาเมะลึกกว่าเดิม คาเมะตลกใสๆ ตายๆๆๆ คนหล่อเล่นบทตลกเป็นธรรมชาติมาก เหมือนเป็นตัวคาเมะจริงๆ แม้บทจะออกโอเว่อร์แอคติ้ง เพราะสร้างมาจากการ์ตูน แต่คาเมะเล่นน่ารักเวอร์ โดยเฉพาะฉากงอลที่กระโดดเป็นเด็กๆ ทำไปได้ 








ตลกจบแล้ว ย้อนกลับมาดูแนวดราม่า “Tatta Hitotsu no Koi” ถ้ารักคาเมะแล้วไม่ดู ต้องร้องไห้หนักมาก ถ้ายังไม่รัก ยิ่งต้องดู เขาอวยว่าซีรี่ย์ดีมาก ไม่จริงเลย !! มัน(โครต)ดีมากต่างหาก ชีวิตรักวัยรุ่นที่มีฐานะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 





มีคนบอกว่า คาเมะเล่นเรื่องนี้ผอมบางเกินไป แต่เราคิดว่า บุคลิกคาเมะเข้ากับบทมาก หนุ่มน้อยที่พ่อตาย, แม่ติดเหล้า, น้องป่วย ตัวเองต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ผอมแห้ง แววตาเศร้า แบบนี้แหละ ใช่เลย ไม่ได้มีแต่ดราม่านะ  บทกุ๊กกิ๊กน่ารักนัยน์ตาชวนฝัน เวลาอยู่กับนางเอก จิ้นจิกหมอนแตกไปหลายใบ ทุกฉากถ่ายทำได้สวยมาก จนหลายคนต้องตามรอยซีรี่ย์ไปที่ Yokohama (โยโกฮามะ) 



คาเมะสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกผ่านสายตาได้ชัดเจน Real ที่สุด สะท้อนถึงการแบ่งชนชั้นในสังคมญี่ปุ่นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ชีวิตจริงจะมีไหม หญิงสาวผู้เพียบพร้อม ที่จะมารักและยอมรับหนุ่มที่รักจริงแต่จนอย่าง "ฮิโรโตะ (Hiroto Kanzaki)"  #โหมดมโน 







คาเมะรับบทนำในซีรี่ย์และภาพยนตร์หลายเรื่อง ที่สร้างมาจากนิยายขายดีของญี่ปุ่น 

“Kaitou Yamaneko” (จอมโจรสายลับ ยามาเนะโกะ) เล่นดีมาก มาดกวน ไม่ห่วงหล่อ (หล่ออยู่ดี) ชอบกินบะหมี่ถ้วย และร้องเพลงเสียงหลง ป่าเถื่อน แต่จิตใจดี โอ๊ย!! ไปดูเองเถอะค่า











“Yamato Nadeshiko Shichi Henge” (หนุ่มหล่อเฟี้ยว แปลงโฉมสาว) คาเมะรับบทหนุ่มหล่อ หน้าสวย มาดเข้ม ใจร้อน ชอบใช้กำลัง เถื่อนนิดๆ สาวรุมหลงไหลจนต้องพาตัวเองออกจากบ้าน ไม่กล้าเปิดใจรักใคร จนมาเจอนางเอก สาวผู้ผิดหวังกับความรัก เลยเก็บตัวอยู่ในความมืดและเรื่องสยองขวัญ 

ซึ่งเรื่องนี้เป็นการ์ตูนที่ได้รับความนิยม ที่มียอดขายกว่า 7 ล้าน 5 แสนเล่ม เรื่องราวแนวโรแมนติคคอมเมดี้ ห้ามพลาดเลย!! มีหนุ่มหล่อร่วมแสดงอีก 3 คน 







ค้นๆๆ หาๆๆ ไล่ดูทุกเรื่องที่คาเมะเล่น ทั้งซีรี่ย์, ภาพยนตร์, ละครเวที, รายการ TV, คอนเสิร์ต Kat-Tun กำลังตกหลุมรักขั้นโคม่า สืบค้นทุกผลงานของคาเมะและคัตตุน

Kat-Tun เริ่มต้น ปี 2001 จากสมาชิก “Johnny Junior” 6 คน แต่ละคนโดดเด่นแตกต่าง แต่ลงตัว มีความเป็น “Bad Boy” ไม่ยึดติดกับรูปแบบทางการ 

ย้อนกลับไปเกือบ 20 ปี
เราคิดว่า วัยรุ่นญี่ปุ่นโหยหาความแปลกใหม่ นอกกรอบ ไร้แบบแผน เพราะชีวิตประจำวัน ตรึงเครียดกับระเบียบมากเกินไปแล้ว Kat-Tun มาตอบโจทย์นั้นพอดี มีความดื้อ ซน ทะเล้น เกรียน แต่น่ารัก ร่าเริง เข้าถึงใจแฟนคลับ ขอชื่นชมและขอบคุณ ลุงจอห์นนี่ "Johnny Kitagawa” ที่มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเด็กทั้ง 6 คน ทำให้เกิดเป็น Kat-Tun ขึ้นมา




ย้อนดูคอนเสิร์ต Kat-Tun ตั้งแต่ปี 2002 

มันส์มากๆ ช่วงที่ยังอยู่กันครบ 6 คน Rap ก็ได้ Beatbox ก็มี เต้นสะบัด แดนซ์กระจาย โดยเฉพาะคาเมะ ท่าเต้นแรด~มาก เป็นวงที่ชอบโหวกแหวก โวยวาย ตะโกนคุยกับแฟนคลับ สไตล์ Rock แต่ไม่ได้มีความน่าเกรงขามสักนิด ยิ่งเพิ่มความน่ารัก คิขุ คาวาอิ ได้อีก 

เสียใจและเสียดายที่รู้จัก Kat-Tun ช้าไป 

เราเคยไปคอนเสิร์ต Pattaya Festival เพื่อดู Makoto Lucifer ซึ่ง Kat-Tun เพิ่งเริ่มดัง ก็มาร่วมงานด้วย แต่เราไม่รู้จัก... คลาดกันไป









ปี 2016 Kat-Tun “10TH ANNIVERSARY BEST 10Ks!” 
ฉลองครบรอบเดบิวต์ 10 ปี 

สมาชิกเหลือเพียง 3 คน คาเมะน้องสุดท้อง อายุน้อยที่สุดในวง ต้องเข้มแข็งเบอร์ไหน ถึงได้นำพาวง Kat-Tun เดินทางมาถึงวันนี้ได้...








ไอดอลญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่หน้าตาดี เสียงไพเราะเท่านั้น 

ยังต้องมีความสามารถหลายด้าน และมีความรับผิดชอบสูงมาก ถึงจะอยู่ในวงการได้ยาวนาน ระหว่างที่สมาชิกในวงออกไป แน่นอนว่า แฟนคลับบางส่วนก็หายไปด้วย แต่สมาชิกที่เหลือก็พยายามพัฒนาตัวเองและสร้างผลงานใหม่ๆ เพื่อเพิ่มฐานแฟน

คาเมะงานเยอะที่สุด มีทั้งซีรี่ย์, ภาพยนตร์, ละครเวที, รายการวิทยุ, วาไรตี้ทีวี, MC, พิธีกร และเบสบอล กีฬาที่รักและถนัดมาตั้งแต่เด็ก  ส่วนพี่ยูกับทัตจัง ก็ทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง เพื่อเสริมให้ Kat-Tun แข็งแรงมากขึ้น




เราเพิ่งรัก Kat-Tun ได้ไม่นาน แต่รักจริงๆ 

ติดตามดูผลงานผ่านเน็ต ภาพไม่ชัด เสียงไม่กระหึ่ม  เลยสั่งแผ่นแท้ ลิขสิทธิ์ จากเวบ Amazon, Rakuten และ Yahoo Japan 

เปิดดูจริงจัง เสมือนนั่งไทม์แมชชีนย้อนอดีตกลับไปอยู่ในคอนเสิร์ต  และมีส่วนร่วมกับทุกๆ กิจกรรมของ Kat-Tun










Best Jeans Award: Best Male Jeanist

Best Jeans Award: Best Male Jeanist 5 ปีติดต่อกัน จนได้เป็น Hall of Fame




แม้วันนี้ Kat-Tun จะเหลือสมาชิกเพียง 3 คน หรือวันข้างหน้าจะไม่มี Kat-Tun แล้วก็ตาม 

เหล่าไฮเฟ่นทั่วโลก คงต้องเศร้าเสียใจอย่างมาก แต่เราจะสนับสนุนผลงานของคาเมะ และสมาชิกในวงต่อไป หากมีคอนเสิร์ตเมื่อไหร่ จะบินไปดูที่ญี่ปุ่นให้ได้ จะไม่ยอมคลาดกับ Kat-Tun อีกแล้ว

เราตกหลุมรัก Kat-Tun ในอดีต ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และจะรักต่อไป...






เจอกระทู้ที่พูดคุยว่า J-pop  ไม่ดังแล้วเหรอ? 

ไม่จริงเลย !! เราคุยกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน ทุกคนยังคงติดตามผลงาน J-pop ที่ชื่นชอบสมัย 10 กว่าปีก่อน จัดคอนเสิร์ตเมื่อไหร่ ก็บินไปดูที่ญี่ปุ่นหรือประเทศในแถบเอเชีย (เขาไม่มาไทย) 

สาวก J-pop กลุ่มใหญ่มาก และอยู่ในวัยช่วง 30 - 50 ปี วัยมีตังค์และเวลา สามารถซื้อผลงานลิขสิทธิ์และบินไปดูคอนเสิร์ตที่ต่างประเทศได้ รักจริง แต่รักเงียบๆ ทำให้ดูเหมือน J-pop เงียบไป ไม่ได้เงียบนะ แต่เขาไปกรี๊ด กระโดด กันที่ญี่ปุ่น

ช่วงหลังๆ J-pop ไม่ได้ทำการตลาดในไทย ไม่มีสินค้าวางจำหน่ายในไทย คลิปที่ปล่อยในยูทูป ถูกต้นสังกัดลบ สาวก J-pop ติดตามข่าวสารไอดอลได้ทาง twitter, webboard และ Blog ของต้นสังกัด โดยเฉพาะค่ายจอห์นนี่ ต้องสมัคร “Fan club member” และต้องอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นด้วย (http://www.johnnys-net.jp/page?id=jfcJoin&lang=en_us)

แม้จะไม่มีสินค้าของไอดอลญี่ปุ่นจำหน่ายในไทย ก็ยังโชคดีที่สามารถ สั่งซื้อออนไลน์ได้จากเวบ Amazon, Rakuten และ Yahoo Japan มีทั้งของใหม่ และของมือสอง คุณภาพดีมาก

23 กุมภาพันธ์  2018 HBD Kamenashi
คาเมะ จะอายุครบ 32 ปีแล้ว ออก Photobook ให้สั่งจองล่วงหน้า มีหรือจะพลาด มือสั่น ~ สั่งจองรัวๆๆๆ 









จากเด็กผอมบาง คิ้วโก่ง ตาเป็นขีดๆ กลายเป็นหนุ่มเนื้อแน่น ตาโต หน้าคม หล่อกว่าเดิม และจริงจังกับงานมาก จะไม่ให้หลงรักได้อย่างไร 















"คาเมะ" เติบโตและมีผลงานต่อเนื่อง จนอยู่ในขั้นที่ได้รับการยอมรับว่า "เล่นได้ทุกบทบาท เข้าถึงทุกตัวละคร" 

บทปิศาจ Bem ในละครเรื่อง "Yokai Ningen Bem”  ทำให้คาเมะชนะใจแฟนละคร คว้ารางวัล “BEST ACTOR” จาก NIKKAN SPORTS DRAMA GRAND PRIX ได้สำเร็จ!!


Bem ปิศาจหน้าสวย จิตใจดีงาม


ไปญี่ปุ่นรอบหน้า จะบุกไป Johnny’s shop ช้อปปิ้งคาเมะและคัตตุน ให้หนำใจเลย ไฮเฟ่นท่านใดรักชอบหนุ่มๆ ในสังกัดจอห์นนี่ เตรียมตังค์ไว้เลย ฝากหิ้วกลับมาได้ ราคากันเองจ้า

สนับสนุนผลงาน ไอดอลญี่ปุ่น ที่ท่านรัก ด้วยการอุดหนุนสินค้าลิขสิทธิ์ ของแท้จากญี่ปุ่น ให้ไอดอล มีกำลังใจพัฒนาและผลิตผลงานดีๆ ต่อไปด้วยนะคะ ...O-ne-gai-shimas






“KAT-TUN (カトゥーン ) รวมตัวกันในปี 2001 
เพื่อเป็น แบ็คแดนซ์เซอร์ (backdancer) ให้กับ โดโมโตะ โคอิจิ ในรายการ Pop Jam

เป็น johnnys junior วงเดียวที่มีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองในขณะที่ยังไม่ได้เดบิวต์ (Debut) 

คอนเสิร์ตครั้งแรกมีขึ้นในฤดูร้อนปี 2002 และได้เดบิวต์ ในปี 2006

ตั้งแต่ เดบิวต์ ปี 2006 KAT-TUN สร้างปรากฏการณ์มากมายในวงการบันเทิงญี่ปุ่น ซิงเกิ้ลและอัลบั้ม ล้วนแล้วแต่ขึ้น อันดับ 1 Oricon Chart ทั้งหมด 

KAT-TUN เป็นศิลปินแรกในประวัติศาสตร์ ที่สามารถเปิดคอนเสิร์ตต่อเนื่องถึง 8 วัน ที่ โตเกียว โดม ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตฮอลล์ที่ใหญ่ที่สุดและมีเกียรติที่สุดในญี่ปุ่น รวมจำนวนผู้ชมถึง 440,000 คน”

ในปี 2002 เพื่อตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องที่เข้ามามากมาย KAT-TUN จึงได้จัดคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรกชื่อ โอคาคุซามะ วะ คามิซามะ - คอนเสิร์ต โกะจูโกะมัน นิน ไอ โนะ รีเควสต์ นิ โคตาเอะเตะ!! (Okyakusama wa Kamisama - Concert 55man Nin Ai no Request ni Kotaete!!) ซึ่งเกิดจากจดหมายรักรีเควสต์จากแฟนๆจำนวน 550,000 คนที่อยากดูคอนเสิร์ตคัตตุน

ในปีเดียวกัน พวกเขาได้แสดงคอนเสิร์ต 11 งานในวันเดียว และนี่ได้กลายเป็นสถิติสูงสุดในญี่ปุ่นของศิลปินที่แสดงคอนเสิร์ตมากที่สุด ในวันเดียว ตั้งแต่นั้นมา KAT-TUN ก็ได้จัดคอนเสิร์ตในญี่ปุ่นแทบทุกฤดูกาล

(ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://th.wikipedia.org/wiki/คัต-ตุน)